วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อันดับ 1 แกรนด์แคนยอน รัฐแอริโซนา (Grand Canyon, Arizona)

แกรนด์แคนยอน รัฐแอริโซนา (Grand Canyon, Arizona)


         จุดหมายแห่งนี้สมควรขึ้นชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตที่ควรไปเยือน เพราะมิได้เป็นแค่ทัวร์ล่องแก่งอะดรีนาลีนฉีดพุ่งพล่าน แต่ยังมีรีสอร์ท-สปาระดับโลก สนามกอล์ฟไฮคลาส  อาร์ตแกลอรี่ และภัตตาคารชั้นนำไว้เอาใจนักท่องเที่ยวไฮโซเช่นกัน






อันดับ 2 มหานครนิวยอร์ก (New York City)

มหานครนิวยอร์ก (New York City)

นิวยอร์กมีทุกอย่างที่คุณสรรหาตั้งแต่สวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางเมือง เช่น เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) พิพิธภัณฑ์และอาร์ตแกลอรี่ชั้นดี ร้านอาหารนานาชาติ แหล่งช็อปปิ้งชั้นนำ ตั้งแต่แบบหรูระยับบนถนนสายที่ 5 (The 5th Avenue) จนไปถึงตลาดนัดแนวโบฮีเมียน (Bohemian) ในเขตเวสต์วิลเลจ (West Village) เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเที่ยวนิวยอร์กได้ทั่วในทริปเดียว”





อันดับ 3 อเมริกันซามัว (American Samoa)

อเมริกันซามัว (American Samoa)


เกาะในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรแปซิฟิคแห่งนี้ อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่กำลังเป็นสวรรค์การท่องเที่ยวทางทะเลแห่งใหม่ของชาวอเมริกัน เพราะธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ หากคุณรักกิจกรรมทางน้ำและเดินป่า ชื่นชมวัฒนธรรมชาวเกาะ เชื่อขนมกินได้ว่า ทุกบาททุกสตางค์ของค่าใช้จ่ายการเดินทาง จะคุ้มค่ากับทริปเกาะในฝันแห่งนี้แน่นอน






อันดับ 4 อุทยานแห่งชาติคาร์ลสเบด คาร์เวิร์น รัฐนิวเม็กซิโก (Carlsbad Caverns National Park, New Mexico)

อุทยานแห่งชาติคาร์ลสเบด คาร์เวิร์น รัฐนิวเม็กซิโก (Carlsbad Caverns National Park, New Mexico)

                      อุทยานหินงอกหินย้อยอายุกว่าสองล้านปีอันลือชื่อติดอันดับโลก สำหรับนักผจญภัยรุ่นเยาว์และรุ่นใหญ่ และยังเป็นถ้ำค้างคาวมหึมา หากฝันอยากลอดถ้ำใต้แผ่นดิน เช่น อินเดียน่า โจนส์  การมาเยือนอุทยานประวัติศาตร์นี้ จะเป็นคำตอบของการเดินทางของคุณอย่างแน่นอน





อันดับ 5 โฮโนลูลู รัฐฮาวาย (Honolulu, Hawaii)

โฮโนลูลู รัฐฮาวาย (Honolulu, Hawaii)

                       ไม่ต้องอธิบายกันมาก กับบรรยากาศสวมเสื้อฮาวายจิบค็อกเทลริมหาดไวกิกิอันโด่งดัง ผืนทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า น้ำทะเลใสกิ๊ก ทั้งยังเป็นแหล่งโต้คลื่นในฝันของนักเล่นกระดานโต้คลื่นทุกรุ่น หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศในบางวัน พิพิธภัณฑ์งานศิลปะ และพระราชวังเก่าอิโอลานิ (Iolani Palace) ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปเยือนไม่น้อย





อันดับ 6 ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย (San Francisco, California)

ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย (San Francisco, California)

                           ถ่ายรูปคู่กับสะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge) กลางทะเลหมอกจากยอดเขา เดินทอดน่องในเขตโนอิ วัลเลย์ (Noe Valley)  ชิมซุปหอยข้น (Clam Chowder) ขณะชมสิงโตทะเลผึ่งแดด ณ ท่าเรือ 39 ขึ้นรถรางเก่าชมเมือง หรือจะเข้าร่วมเทศกาลบิ๊กวิลล์ (Bring Your Own Big Wheel Race) ณ ถนนที่คดเคี้ยวที่สุด ซาน ฟรานซิสโกไม่เคยทำให้คุณผิดหวังสักครั้งที่ไปเยือน



ซานฟรานซิสโก หรือ แซนแฟรนซิสโก (San Francisco) คือเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีประชากร ประมาณ 808,976 คน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นประชากรเป็นอันดับสองของประเทศ เมืองซานฟรานซิสโกตั้งอยู่บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก


                ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากในซานฟรานซิสโกคือชาวสเปน โดยในปี ค.ศ. 1776 เมืองมีชื่อว่า เซนต์ฟรานซิส (St. Francis) ในภายหลังจากช่วงยุคตื่นทองในปี ค.ศ. 1848 ทำให้ประชากรในซานฟรานซิสโกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมืองเติบโตอย่างมาก ถึงแม้ว่าซานฟรานซิสโกจะประสบปัญหา แผ่นดินไหวและไฟไหม้ขนาดใหญ่ในช่วงปี ค.ศ. 1906 ซานฟรานซิสโกกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และได้ชื่อว่าเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในแถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศ



ซานฟรานซิสโกมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเขา และมีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก สัญลักษณ์ที่ขึ้นชื่อของเมืองซานฟรานซิสโกได้แก่ สะพานโกลเดนเกต และแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ เกาะอัลคาทราซ รถรางซานฟรานซิสโก39 และ ถนนลอมบาร์ด ทีมกีฬา อเมริกันฟุตบอล ที่สำคัญได้แก่ ซานฟรานซิสโก เป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ และชาวเอเชียอาศัยที่อ่าวซานฟรานซิโกเป็นจำนวนมาก




อันดับ 7 แฟร์แบงค์ รัฐอลาสก้า (Fairbank, Alaska)

แฟร์แบงค์ รัฐอลาสก้า (Fairbank, Alaska)


                      เป็นแหล่งชมแสงเหนือออโรรา (Northern Light  Aurora) ที่ชัดเจนอีกแห่งของโลก และปีนี้เป็นปีสุดท้ายของ 11 ปีระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cycle) ที่เชื่อกันว่าจะทำให้แสงเหนือนี้สวยงามวิจิตรกว่าปกติมาก รวมไปถึงธารน้ำแข็งกลาเซียร์ (Glacier) ที่เชื่อว่าจะละลายหมดภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้น หากนิยมท่องเที่ยวแนววิทยาศาสตร์ ไม่ควรพลาดการไปเยือนแฟร์แบงค์ปีนี้





                         รัฐอะแลสกา  รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐอเมริกานับเป็นรัฐที่ 49 มีจำนวนประชากร 626,932 คน (พ.ศ. 2543) ชื่อ อะแลสกา นั้นน่าจะเพี้ยนมาจากคำในภาษาแอลิอุต ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นว่า "Alyeska" แปลว่า "ดินแดนที่ไม่ใช่เกาะ"